PhillipCapital PhillipCapital Your Partner in Investment

poems poems

ศูนย์การเรียนรู้
ค่าเสียโอกาส ที่มือใหม่ควรรู้

ค่าเสียโอกาส คืออะไร

สวัสดีครับเพื่อนๆ นักลงทุนมือใหม่ทุกท่าน วันนี้สิ่งที่จะพูดถึงคือ “ค่าเสียโอกาส” ว่ามันคืออะไรและทำไมเราถึงควรจะทำความรู้จักกับมันก่อนที่จะเริ่มลงทุนมาดูกันครับ
 
“ค่าเสียโอกาส” คือ มูลค่าที่เราเสียไปถ้าหากเราเลือกที่จะทำอย่างหนึ่ง และจะไม่สามารถทำอีกอย่างหนึ่งได้ หากเรานำไปเปรียบเทียบกับการลงทุน “ค่าเสียโอกาส” ก็อาจจะหมายถึง การที่เราบริหารจัดการเงินไม่ดีทำให้พลาดโอกาสที่จะนำเงินที่มีไปลงทุนในส่วนอื่นที่ให้ผลกำไรที่มากกว่าในช่วงเวลาเดียวกัน โดยค่าเสียโอกาสจะคิดออกมาเป็นตัวเลขได้ง่ายๆ ครับ มาดูตัวอย่างกันเลยครับ
 
ตัวอย่างเช่น ถ้าหากเรามีเงินอยู่ 1,000,000 ล้านบาท มีทางเลือกในการลงทุน 3 ทาง

- ทางที่ 1 เรานำเงินที่มีทั้งหมดไปฝากเงินกับธนาคารได้รับดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี คิดเป็นเงิน 2,500 บาท ซึ่งความเสี่ยงน้อยมาก

- ทางที่ 2 เรานำเงินที่มีทั้งหมดไปลงทุนในในหุ้นไทย ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 7% คิดเป็นเงิน 70,000 บาท ซึ่งความเสี่ยงสูง

- ทางที่ 3 เรานำเงินที่มีทั้งหมดไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 12% คิดเป็นเงิน 120,000 บาท ซึ่งความเสี่ยงสูงที่สุดในสามทางเลือก
 
ถ้าหากเราเลือกลงทุนในทางเลือกที่ 1 คือการฝากเงินกับธนาคารได้รับดอกเบี้ย ค่าเสียโอกาสเราจะเท่ากับ 120000 บาท เนื่องจากเราเลือกทิ้งทางที่จะสามารถให้ผลตอบแทนมากที่สุดที่จะนำเงินไปลงทุน เพราะว่าทางเลือกนี้ก็มีความเสี่ยงสูงสุดเช่นกัน ทีนี้เพื่อนๆ พอจะเห็นภาพแล้วใช่ไหมว่า ถ้าหากเรากระจุกเงินทั้งก้อนไปลงทุนในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือทางใดทางหนึ่งก็อาจจะทำให้มีค่าเสียโอกาสที่สูงได้

เพราะฉะนั้นเพื่อให้ไม่เกิดค่าเสียโอกาสในการลงทุน เพื่อนๆ นักลงทุนควรจะมีการกระจายการลงทุนและมีการแบ่งเงินเพื่อทำการลงทุนในโอกาสต่างๆ ที่อาจจะมีเข้ามา เพื่อที่จะทำให้เกิดค่าเสียโอกาสน้อยที่สุด รวมถึงเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนไปอีกด้วย เพราะในโลกของการลงทุนมีความเสี่ยงอยู่เคียงข้างด้วยเสมอ การกระจายความเสี่ยงในการลงทุนทำให้เรามีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่คาดหวังได้ แต่ควรอยู่บนความเสี่ยงที่เรายอมรับได้

ตรงนี้เพื่อนๆ อาจจะมีคำถามกลับมาว่า แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าฉันควรจะจัดพอร์ตกระจายการลงทุนอย่างไร เบื้องต้นผมตอบคำถามตรงส่วนนี้ว่า เพื่อนๆ ควรจะเริ่มจากการทำแบบทดสอบความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเองก่อนที่จะเริ่มลงทุนเพื่อจะได้ทราบว่าสินทรัพย์ที่เราสามารถลงทุน บนความสามารถในการรับความเสี่ยงของเรามีอะไรบ้าง
 
หลังจากทราบแล้วว่าเราควรลงทุนสินทรัพย์ใดได้บ้าง ยังไม่ควรเริ่มลงทุนเลย ควรจะทำการศึกษาหาความรู้ว่าสินทรัพย์มีลักษณะเป็นอย่างไรและความเสี่ยงมีแบบได้บ้าง หลังจากเข้าใจแล้วถึงเริ่มลงทุนได้ เช่น เรารับความเสี่ยงได้ระดับสูงที่ 7 ในกรณีที่เรามีเงิน 1 ล้านบาท เราอาจจะแบ่ง 60 % มาลงในหุ้นทั้งในและต่างประเทศ อีก 10 % ลงทุนในตราสารหนี้ ณ วันที่หุ้นให้ผลตอบแทนลดลง ตราสารหนี้จะยังให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยคงที่ได้ อีก 10 % ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างกระแสเงินสด อีก 10 % กระจายการลงทุนไปที่ทองคำ ส่วน 10 % ที่เหลืออาจจะนำไปเป็นเงินฝากเพื่อใช้ในยามฉุกเฉินได้
 
โดยการจัดพอร์ตในสัดส่วนต่างๆ เราสามารถดูแหล่งข้อมูลได้จากเว็บของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
(https://www.setinvestnow.com/th/knowledge/article/300-adver7-mf-1b)

เพื่อนๆ น่าจะพอเห็นภาพแล้วว่าการลงทุนเพียงทางเดียวนั้นมีค่าเสียโอกาส และถ้าลงทุนในสิ่งทรัพย์อย่างเดียวก็จะมีความเสี่ยงอีกด้วย ดังนั้นเราควรจะแบ่งและกระจายเงินไปยังสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงและตอบสนองความต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนของเราได้ และควรลงทุนในสิ่งที่เรามีความรู้และเข้าใจ จะได้ไม่ลงทุนกันแบบสะเปะสะปะหรือเลือกลงทุนจากผลตอบแทนย้อนหลังเพียงเท่านั้น แล้วมาติดตามกันนะครับว่าจะมีความรู้อะไรมาฝากกันอีกกับผม Mr. Phillip แล้วพบกันใหม่ครับ
 
หากเพื่อนๆ มือใหม่สนใจเริ่มต้นลงทุน บล.ฟิลลิป มีทีมงานคอยดูแลและมีหลักสูตรสัมมนาออนไลน์ ที่จัดอย่างสม่ำเสมอสำหรับมือใหม่โดยเฉพาะ
แจ้งความประสงค์ให้เราติดต่อกลับได้ที่ https://forms.gle/v93V5ANPu47PzHHR7

สอบถาม และติดตามข่าวกิจกรรม สาระความรู้ ผ่าน Line  

#มือใหม่ลงทุน #นักลงทุนมือใหม่